AIS Trip : ย่างกุ้ง-พุกาม-มัณฑะเลย์ 02
AIS Trip "ย่างกุ้ง-พุกาม-มัณฑะเลย์"
ประสบการณ์เที่ยวสุดพิเศษ เฉพาะลูกค้าเอไอเอส ตอน 2
ตามรอยเส้นทางแห่งพุทธศรัทธา ย่างกุ้ง – พุกาม – มัณฑะเลย์
ออกเดินทางวันที่ 30 เมษายน - 03 พฤษภาคม 2559
การเดินทางเปิดประสบการณ์เที่ยวสุดพิเศษ เฉพาะลูกค้าเอไอเอส เดินทางมาถึงวันที่ 3 คณะของเราจะเดินทางไปสักการะเจดีย์ชเวซิกอน และทุ่งเจดีย์แห่งพุกาม ...กองทัพเดินด้วยท้อง เช้านี้ต้องอิ่มไว้ก่อน เมื่อคืนเราเข้าพักที่โรงแรมออเรี่ยม พาเลซ โอเต็ล เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวที่ดีที่สุดในพุกาม
อาหารเช้าที่โรงแรมออเรี่ยม พาเลซ โอเต็ล มีให้เลือกหลากหลายทั้งแบบเอเชีย และแบบตะวันตก ยำปลาสลิดทอดกรอบ (เมนูนี้นำมาจากประเทศไทยโดย AIS Trip) เรียกได้ว่าทุกเช้าคณะของเราจะมีเมนูพิเศษกันทุกเช้า ยำปลาสลิดทอดกรอบ ยำไข่เค็ม กุนเชียงทอด หัวไชโป้วผัดไข่ หมูหยอง พริกน้ำปลา น้ำยำ จัดมาครบชุด สลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป วันละ 2-3 รายการ
เช้านี้เราเดินทางมาสัมผัสบรรยากาศของ ตลาดพื้นเมืองยองอู (Nyaung Oo) เป็นตลาดสดขนาดใหญ่ของเมืองพุกาม เป็นตลาดดั้งเดิมเหมือนย้อนเวลากลับไปในอดีตประมาณ 30 ปีที่แล้ว สินค้าที่ขายมีตั้งแต่อาหารสด ผัก ผลไม้ ของใช้ในชีวิตประจำวัน เสื้อผ้า โสร่ง ร้านกาแฟ ร้านตัดผม และของที่ระลึก
ตลาดพื้นเมืองยองอู (Nyaung Oo) ลุงเด้งมาสะดุดตากับร้านขายผ้าโสร่ง และเสื้อพื้นเมือง ร้านนี้คนขายเป็นเด็กสาวพม่า ที่พูดภาษาอังกฤษได้ดี ผ้าซิ่น ผ้าโสร่ง ผื่นละ 2,500 - 4,000 จ๊าด คิดเป็นเงินไทยผืนละ 75 - 120 บาทเท่านนั้น - ป้าไก่ซื้อมา 12 ผืน - น้องคนขายถามว่า "ทำไมซื้อเยอะจัง???"
หลังจากที่ซื้อของที่ตลาดพื้นเมืองยองอู (Nyaung Oo) กันอย่างสนุกสนาน เราเดินทางมุ่งหน้าต่อไปยัง พระเจดีย์ชเวซิกอน (Shwezigon Pagoda) 1 ใน 5 มหาบูชาสถาน
พม่ายกย่องพระเจ้าอโนรธามังช่อ เป็น 1 ใน 3 กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพม่า
ซึ่งประกอบด้วย พระเจ้าอโนรธามังช่อ แห่งราชวงศ์พุกาม, พระเจ้าบุเรงนอง แห่งราชวงศ์ตองอู
และ พระเจ้าอลองพญา แห่งราชวงศ์อลองพญา
พระเจดีย์ชเวซิกอน แห่งพุกาม เป็นมหาเจดีย์ที่สำคัญเป็นอันดับสองรองจาก ชเวดากอง ในกรุงย่างกุ้ง สร้างโดย พระเจ้าอโนรธามังช่อ หรือ พระเจ้าอโนรธามหาราช ปฐมกษัตริย์พม่าแห่งราชวงศ์พุกามผู้ก่อตั้งอาณาจักรพุกามเมื่อ 900 ปีเศษมาแล้ว อีกทั้งยังทรงสถาปนาพระพุทธศาสนาให้สถิตย์อยู่ในพม่าตราบจนทุกวันนี้ด้วย
พระเจ้าอโนรธามหาราชทรงยกทัพไปตีมอญที่อาณาจักรสุธรรมวดี เมื่อได้รับชัยชนะจึงกวาดต้อนชาวมอญ และช่างฝีมือ นักปราชญ์ และ ราชบัณฑิตมาที่เมืองพุกาม ทำให้ศิลปวัฒนธรรมพม่าในยุคนี้ได้รับอิทธิพลจากมอญ เช่น รูปทรงของเจดีย์ชเวซิกอง เป็นทรงระฆังคว่ำแบบมอญ "ชเวซิกอง" แปลว่า "เจดีย์ทองแห่งชัยชนะ"
พระเจดีย์ชเวซิกองเป็นที่บรรจุพระธาตุสำคัญ ๓ ส่วน คือ พระเขี้ยวแก้ว ที่กษัตริย์แห่งศรีลังกาได้นำมาถวาย พระธาตุกระดูกไหล่ ที่นำมาจากเมืองศรีเกษตร (ใกล้เมืองแปร) และ พระธาตุพระนลาฏ (หน้าผาก)
จากนั้นเราเดินทางต่อไปยัง อานันทวิหาร ศาสนสถานได้รับยกย่องให้เป็น เพชรน้ำเอกของพุทธศิลป์สกุลช่างพุกามเป็นมหาวิหารขนาดใหญ่และสมบูรณ์แบบที่สุดในพุกาม ประเทศพม่า เริ่มสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1633 แล้วเสร็จในปีต่อมา ในรัชกาลพระเจ้าจันสิทถา อดีตยอดพระเจดีย์เป็นสีขาวเหมือนกับพระเจดีย์องค์อื่นๆ ของพุกาม แต่รัฐบาลพม่าได้มาทาสีทองทับเมื่อปี พ.ศ. 2533 เพื่อสมโภชการสร้างอานันทวิหาร ครบรอบ 900 ปี
พระเจ้าจันสิทถาครองราชย์ระหว่างปี (พ.ศ.1672-1655) กษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์พุกาม พระองค์เคยเป็นทหารคู่พระทัยของพระเจ้าอโนรธามหาราช อีกทั้งได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่อีกพระองค์หนึ่ง
อานันทวิหาร ศูนย์รวมของศิลปะทุกแขนง ภายในวิหารมีทางเดินถึงกันโดยรอบ แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีมุขยื่น 4 ทิศ ประตูทางเข้าเป็นประตูโค้ง (arch) ที่มักพบเห็นในสถาปัตยกรรมตะวันตกมากกว่าตะวันออก ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปประทับยืนไม้ปิดทอง สี่ทิศ สี่องค์ สูง 9.5 เมตร ตามคติความเชื่อของพม่าโลกของเรามีพระพุทธเจ้ามาแล้ว 3 พระองค์ และพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่สี
พระพุทธรูปทั้ง 4 ทิศภายในอานันทวิหาร ลักษณะของการวางพระหัตถ์แตกต่างกัน
1. พระกกุสันโธพุทธเจ้า ประจำทิศเหนือ (องค์เดิม แท้จริงแล้วประจำทิศตะวันออก)
2. พระโกนาคมนพุทธเจ้า ประจำทิศตะวันออก (สร้างใหม่)
3. พระกัสสปพุทธเจ้า ประจำทิศใต้ (องค์เดิม)
4. พระโคตมพุทธเจ้า ประจำทิศตะวันตก (สร้างใหม่)
“พระกกุสันโธพุทธเจ้า” พระพุทธรูปประจำทิศเหนือ เฉพาะที่อานันทวิหารเท่านั้น
สันนิษฐานว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าจันสิตตา ที่จะให้พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ “พระโคตมพุทธเจ้า” อยู่ตรงกับพระราชวังที่ประทับ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของอานันทวิหาร จึงต้องให้พระกกุสันโธพุทธเจ้า ย้ายมาทิศเหนือ พระโกนาคมนพุทธเจ้า มาทางทิศตะวันออก พระกัสสปพุทธเจ้ามาทางทิศใต้ เพื่อพระโคตมพุทธเจ้าจะได้อยู่ทางทิศตะวันตก
พระกกุสันโธพุทธเจ้า เป็นพระพุทธรูปองค์ดั้งเดิมของอานันทวิหาร เป็นศิลปะพุกามยุคแรกที่นิยมแกะสลักให้จีวรแนบพระวรกาย ปลายจีวรหยักเป็นรูปเขี้ยวตะขาบ ลักษณะการวางพระหัตถ์ใกล้เคียงกับพระพุทธรูปปางปฐมเทศนาของไทย
“พระโกนาคมนพุทธเจ้า” พระพุทธรูปประจำทิศตะวันออก พระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นแทนองค์เดิมที่ถูกไฟไหม้ ลักษณะการวางพระหัตถ์คล้ายพระปางเปิดโลก พุทธลักษณะที่พระพักตร์และจีวรบ่งบอกว่าไม่ใช่ศิลปะพุกาม
“พระกัสสปพุทธเจ้า” พระพุทธรูปประจำทิศใต้ เป็นพระพุทธรูปองค์เดิม
ความน่าอัศจรรย์ของพระพักตร์... หากเรามองในระยะไกลพระพักตร์ขององค์พระยิ้มอย่างมีเมตตา เมื่อเดินใกล้ขึ้นพระพักตร์เรียบเฉยอย่างมีสมาธิ และหากเข้าใกล้ขึ้นพระพักตร์จะบึ้งตึง สาเหตุเป็นเพราะแสงที่พุ่งมายังช่องวิหารกระทบพระพักตร์สัมพันธ์กับมุมที่เรามอง ทำให้เห็นพระพักตร์ในลักษณะที่ต่างกัน หลายๆ คนเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระบึ้ง-พระยิ้ม” และลักษณะการวางพระหัตถ์นั้นคล้ายปางปฐมเทศนาของไทย
“พระโคตมพุทธเจ้า” พระพุทธรูปประจำทิศตะวันตก สร้างขึ้นแทนองค์ที่ถูกไฟไหม้ การวางพระหัตถ์คล้ายพระพุทธรูปปางประทานอภัยผสมกับปางคันธารราษฎร์ของไทย
หลังจากอาหารกลางวัน เราไปชมวิธีการทำ Lacqureware Workshop ที่ ร้านเครื่องเขิน U BA NYEIN
วัดมนูหะ (Manuha Temple) พระเจ้ามนูหะ เป็นกษัตริย์มอญที่พ่ายแพ้แก่พระเจ้าอโนรธามหาราช เมื่อครั้งที่พระเจ้าอโนรธามหาราชเข้าตีเมืองสะเทิม เมืองหลวงของชาวมอญ แล้วกวาดต้อนผู้คนมาที่พุกาม พระเจ้ามนูหะก็ถูกนำตัวมาเป็นเชลยที่พุกาม
จากหลักฐานนั้นระบุว่า... พระเจ้ามนูหะและพระอัครมเหสีได้ถูกคุมขังไว้ที่ มยินกาบา ทางใต้ของพุกาม และ ณ ที่นั้น ในปี พ.ศ. 1602 พระเจ้าอโนรธามหาราชทรงมีพระราชานุญาต ให้พระเจ้ามนูหะ สร้างวัดมนูหะขึ้น เพื่อทรงใช้เป็นที่บำเพ็ญพระราชกุศล
พระเจ้ามนูหะ จึงสร้างวัดแห่งนี้ขึ้น ภายในมีพระพุทธรูป ๓ องค์ และทรงระบายความรู้สึกในระหว่างที่ถูกคุมขัง ด้วยการสร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดใหญ่โตมากจนคับวิหาร ขนาบข้างด้วยพุทธสาวก ต่อมาคนทั่วไปเรียกว่า “พระอึดอัด” การสร้างครั้งนี้เพื่อเป็นการประชดราชวงค์พุกาม
เล่าสืบต่อกันมาว่า หากเรายืนมองจากด้านพระบาทของพระพุทธรูปไปยังพระพักตร์ จะเห็นเหมือนพระพุทธรูปแย้มพระสรวล (ยิ้ม) แต่เมื่อเดินไปใกล้ๆจะเห็นเหมือนพระพุทธรูปทรงพระกรรณแสง (ร้องไห้) สะท้อนให้เห็นถึงกษัตริย์ผู้สร้าง คือ พระเจ้ามนูหะ (King Manuha) กษัตริย์มอญที่ถูกจับตัวมาเป็นเชลยนั่นเองพระองค์สร้างวัดนี้เพื่อหวังพ้นวัฎฎะสงสาร จะได้ไม่ต้องพ่ายแพ้แก่ผู้ใดอีก
มหาเจดีย์ธรรมยังยี หรือ แสงสว่างแห่งธรรม ซึ่งเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในพุกาม เล่าขานกันว่าอิฐทุกก้อนต้องสมานกันแนบสนิท แม้เพียงเข็ม 1 เล่ม หากสอด ผ่านรอยต่อได้ คนงานก่อสร้างก็จะถูกตัดนิ้วทันที
ช่วงเย็นเราไปยัง จุดชมทะเลเจดีย์แห่งพุกาม แต่กว่าจะได้มุมสวย ก็ต้องเดิน (ปีน) ขึ้นไปยังจุดชมวิว เรียกว่าขาสั่นกันเลย
วิวสวยๆ มองเห็นทะเลเจดีย์แห่งพุกาม
อีก 1 ไฮไลท์ ของวันนี้คือ การนั่งรถม้าชมทิวทัศน์ยามเย็น เรานั่งรถม้าคันละ 2 คน ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที รถม้าไปส่งถึงหน้าโรงแรมเลยครับ
วิวสวยๆ ระหว่างทาง
มื้อเย็น...คืนนี้เป็นคืนสุดท้าย AIS จัดงานเลี้ยงเป็นบุฟเฟ่ต์ พร้อมการแสดง และกล่าวขอบคุณผู้ร่วมเดินทางในครั้งนี้ พร้อมมอบรางวัลให้กับผู้ชนะการประกวดภาพในระหว่างการเดินทาง เรียกได้ว่างานนี้สนุกสนาน เป็นกันเองอย่างที่สุด
เลิกจากงานเลี้ยงเราเดินทางกลับมาที่ห้องพัก อ้าว... AIS แอบเอาของมาให้อีกแล้ว กรอบรูปสวยๆ พร้อมรูปถ่ายที่ลุงเด้ง ป้าไก่ ถ่ายร่วมกับพี่พี่แอ๋ว (ที่ปรึกษาเอไอเอส) และ อ. เผ่าทอง ทองเจือ พร้อมทั้งน้องอุ่นใจ ถือหัวใจพร้อมชื่อจริงของลุงเด้ง - ป้าไก่ ก็ได้แบบนี้คนละ 1 ชุด
เช้าวันสุดท้าย... เราต้องเดินทางกลับเมืองไทยกันแล้ว เช่นเคย นำกระเป๋าเดินทางมาไว้หน้าห้อง จะมีพนักงานมายกกระเป๋านำไปขึ้นรถ ส่วนลุงเด้งป้าไก่ มากินอาหารเช้า แล้วเดินไปยังหอคอยชมทะเลเจดีย์ Bagan Viewing Tower (หอคอยนี้เป็นส่วนหนึ่งของ โรงแรมออเรี่ยม พาเลซ โอเต็ล) เปิดให้เข้าชมครั้งแรกวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 2005 จะขึ้นชมต้องเสียค่าเข้าชม แต่ลุงเด้ง ป้าไก่ ได้รับบัตรมาจากไกด์ ทาง AIS จัดให้เรียบร้อย ให้ขึ้นชมได้ตั้งแต่เวลา 6.00 am - 10.30 pm
มุมสูง ที่ถ่ายจาก Bagan Viewing Tower
ช่วงสายๆ เราเดินทางไปยังสนามบิน เพื่อเดินทางไปยัง มัณฑะเลย์ กราบนมัสการ พระมหามัยมุนี ( 1 ใน 5 มหาบูชาสถาน) แล้วเดินทางกลับเมืองไทย
วัดมหามัยมุนี เป็นวัดสำคัญของประเทศพม่าอยู่ห่างจากเมืองมัณฑะเลย์ 3 กิโลเมตร บ้างก็เรียก "วัดยะไข่" สร้างขึ้นโดยพระเจ้าปดุง (กษัตริย์พม่าที่ยกทัพมารบกับไทยเราในสมัยรัชกาลที่ 1 ในสงคราม 9 ทัพ)
วัดนี้มีพระพุทธรูปศักสิทธิ์และเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนพม่าที่สำคัญมากที่สุดองค์หนึ่ง พระมหามัยมุนี พระพุทธรูปทรงเครื่องที่สวยงามที่สุดของพม่า ในอดีตเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของยะไข่ เมื่อพระเจ้าปดุงเสด็จขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ.2325 ได้ทำสงครามชนะยะไข่หรืออาณาจักรอารากัน ซึ่งเป็นดินแดนทางตะวันตกของพม่าที่ติดกับอินเดียและบังกลาเทศในปัจจุบัน การศึกครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พม่ามีชัยชนะต่อยะไข่ พม่าจึงนำพระพุทธรูปมหามัยมุนีไปไว้ที่เมืองมัณฑะเลย์
คนพม่านับถือพระมหามัยมุนี และถูกปิดทองจนร่างกายหนาและเต็มไปด้วยทองจนเป็นรอยตะปุ่มตะป่ำไปทั้งพระองค์ หากเอานิ้วกดลงไปก็จะรู้สึกได้ถึงความอ่อนนิ่มของทองคำเปลวที่ปิดทับซ้อนกันนับเป็นพันๆ หมื่นๆ ชั้นตลอดระยะเวลาเนิ่นนานร่วม 200 ปี "ความนิ่มของทองเหมือนความนิ่มของเนื้อคน" ทำให้พระมหามัยมุนีได้รับฉายาว่า "พระเนื้อนิ่ม" ซึ่งเกิดจากการปิดทองมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
อาคารด้านหลังของมณฑปครอบองค์พระมหามัยมุนี มีห้องจัดแสดงศิลปวัตถุประเภทเครื่องสัมฤทธิ์ 6 ชิ้น ซึ่งนักประวัติศาสตร์ลงความเห็นว่าเป็นเครื่องสัมฤทธิ์ศิลปะเขมรแบบ “บายน” หล่อขึ้นในแผ่นดินพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (อาณาจักรเขมร สมัยเมืองพระนคร) ประกอบด้วย รูปช้างเอราวัณ 1 ชิ้น รูปสิงห์ 3 ชิ้น รูปพระอิศวร 2 ชิ้น ซึ่งชาวพม่านิยมมาสักการะโดยใช้มือลูบคลำ ด้วยเชื่อว่าจะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต บางคนลูบเฉพาะท้องของพระอิศวรเพื่อขอลูก บางคนลูบหัวสิงห์ด้วยเชื่อว่าจะได้รับพรให้มีสติปัญญาเฉียบแหลม บางคนลูบเฉพาะจุดที่ตนเองเจ็บไข้ได้ป่วย เช่น ปวดหัวเรื้อรังก็ลูบเศียรพระศิวะหรือเศียรช้างเอราวัณ
ประวัติศาสตร์เครื่องสัมฤทธิ์ทั้ง 6
- รูปหล่อสัมฤทธิ์ทั้ง 6 ชิ้นนี้เดิมตั้งอยู่ที่นครวัด ประเทศเขมร เมื่อกรุงศรีอยุธยาไปตีเขมรก็ได้นำรูปหล่อสัมฤทธิ์ทั้ง 6 มาไว้ที่กรุงศรีอยุธยา
- พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองบุกกรุงศรีอยุธยา และทรงนำ รูปหล่อสัมฤทธิ์ทั้ง 6 จากกรุงศรีอยุธยามาตั้งไว้ที่พระราชวังหงสาวดีเป็นเวลา 30 ปี (พ.ศ. 2112 หรือคราวเสียกรุงครั้งที่ 1)
- ยะไข่บุกตีกรุงหงสาวดีในสมัยพระเจ้านันทบุเรง เผาเมือง และนำเอาเครื่องสัมฤทธิ์ชุดนี้ไปไว้ที่วัดมหามัยมุนีที่เมืองยะไข่ นานถึง 180 ปี
- จากนั้นพระเจ้าปดุงยกทัพไปแย่งพระมหามัยมุนีมาจากชาวยะไข่ ก็ได้นำเอาเครื่องสัมฤทธิ์ชุดนี้พร้อมกับพระมหามัยมุนีมาไว้ที่ราชธานีอมรปุระ
- สงครามระหว่างอังกฤษกับพม่าก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ พม่ารบแพ้อังกฤษ ครั้งแล้วครั้งเล่า ....สงครามที่พม่าเหมือนจะไม่มีทางชนะ พระเจ้ามินดงย้ายเมืองหลวงอีกครั้งจากเมืองอมรปุระย้ายมาสู่เมืองมัณฑะเลย์จากนั้นก็ย้ายพระราชวังมาที่เมืองมัณฑะเลย์ และรูปหล่อสัมฤทธิ์ทั้ง 6 ก็ถูกย้ายมาที่วัดมหามัยมุนี
บ้างก็ว่าเครื่องสัมฤทธิ์นี้มีอาถรรพ์ ไม่ว่าอยู่ที่เมืองใด เมืองนั้นเป็นอันต้องแพ้สงคราม จากเขมร -> อยุธยา -> ยะไข่ -> ราชธานีอมรปุระ และมาหยุดอยู่ที่มัณฑะเลย์ เชื่อกันว่าด้วยอำนาจและความศักสิทธิ์ของพระมหามัยมุนีสามารถหยุดอาถรรพ์ของเครื่องสัมฤทธิ์ ชุดนี้ได้
ก่อนขึ้นเครื่องบินกลับไทย เรายังมุ่งหน้าสู่ วัดกุโสดอ เป็นวัดที่มี“พระไตรปิฎกเล่มใหญ่ที่สุดในโลก”
วัดกุโสดอ (Kuthodaw Pagoda) พระเจ้ามินดงสร้าง วัดกุโสดอ ขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ 5 และ ถือเป็นการสังคายนาครั้งแรกในรอบ 2,000 ปี ในสมัยของพระเจ้ามินดง โดยได้จารึกพระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์ เป็นอักษรพม่าที่ถอดความมาจากภาษาบาลีลงบนหินอ่อน 729 แผ่น และต้องใช้พระสงฆ์ถึง 2,400 รูป ในการคัดลอกและใช้เวลานานถึง 6 เดือนกว่าจะแล้วเสร็จ พระไตรปิฏกที่ชำระขึ้นใน ครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็น “พระไตรปิฎกเล่มใหญ่ที่สุดในโลก”
โดยแผ่นหินอ่อนที่จารึกพระไตรปิฎกขนาดใหญ่ทั้ง 729 แผ่น จะอยู่ในครอบมณฑปซึ่งตั้งอยู่โดยรอบวัด
สถานที่สุดท้ายของทริปนี้ วัดชเวนันดอว์ เป็นที่ตั้งของพระตำหนักไม้สักชเวนันดอว์
หรือ พระราชมณเฑียรทอง (Golden Palace Monastry) ที่สร้างจากไม้สักปิดทองทั้งหลัง
ในอดีตพระราชมณเฑียรทองตั้งอยู่ในเขตพระราชวัง เป็นสถานที่นั่งเจริญสมาธิของพระเจ้ามินดง เมื่อครั้งที่ทรงประชวรก็มานั่งสมาธิ และสิ้นพระชนที่พระราชมณเฑียรทองแห่งนี้
หลังจากนั้นพระเจ้าธีบอ ก็ได้ย้ายพระตำหนักไม้สักชเวนันดอว์ มาไว้ด้านนอกพระราชวัง ทำให้พระตำหนักไม้สักชเวนันดอว์ แห่งนี้รอดพ้นจากไฟสงคราม
--- อังกฤษเข้ายึดครองพม่าในสงครามโลกครั้งที่สอง ทางอังกฤษคิดว่าพระราชวังเป็นแหล่งซ่องสุมของทหารญี่ปุ่น จึงได้ทำลายพระราชวังเสียด้วยการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1945 ส่งผลให้พระราชวังแห่งนี้เสียหายเกือบทั้งหมด ---
ปัจจุบันภายนอกไม่เหลือทองให้เห็นแล้ว คงหลุดร่อนไปตามกาลเวลา
จบทริป AIS Trip : ย่างกุ้ง-พุกาม-มัณฑะเลย์ กิน-เที่ยวสุดหรู ตลอด 4 วัน 3 คืน
ลุงเด้ง ป้าไก่ได้รับการดูแลที่ดีมากที่สุดจากทีมงาน AIS ได้ความรู้มากมายจาก อ.เผ่าทอง ทองเจือ
และมิตรภาพที่ดีจากเพื่อนๆ ที่ร่วมเดินทางด้วยกันในครั้งนี้
ลุงเด้ง ป้าไก่ ขอบคุณทางเอไอเอส สายการบิน Bangkok Airways
ผู้บริหารและทีมงานที่ช่วยดูแลในทริปครั้งนี้
มาร่วมเปิดประสบการณ์เที่ยวสุดพิเศษ กับ AIS ได้ที่ http://www.ais.co.th/aistrip
AIS Trip : ย่างกุ้ง-พุกาม-มัณฑะเลย์ กิน-เที่ยวสุดหรู ตอน 1
https://www.uncledeng.com/portfolio-view/ais-myanmar-01
AIS Trip : ย่างกุ้ง-พุกาม-มัณฑะเลย์ กิน-เที่ยวสุดหรู ตอน 2
https://www.uncledeng.com/portfolio-view/ais-myanmar-02
AIS Trip : ย่างกุ้ง-พุกาม-มัณฑะเลย์ กิน-เที่ยวสุดหรู (Virtual Tour 360 องศา)
https://www.uncledeng.com/portfolio-view/ais-myanmar-03